ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ธรรมไม่เป็นโลก

๒o มิ.ย. ๒๕๕๒

 

ธรรมไม่เป็นโลก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


 ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันเกิดคนก่อนมันถึงเคยเกิดศาสนานะ เวลาคนเรารวมขึ้นมาถึงเป็นชาติ แล้วชาติมันจะอยู่ได้มันต้องมีศาสนา แล้วศาสนาอะไรล่ะ โดยดั้งเดิมแต่โบราณมาคนถือผีทั้งนั้นน่ะ ศาสนาผีนะ ศาสนาผีเห็นไหม แล้วก็ตั้ง ตั้งกติกากันขึ้นมา แต่เราเกิดมาในปัจจุบันนะ เราเกิดมาพบพุทธศาสนาน่ะ แล้วศาสนาเกิดแล้วนะ ศาสนาเกิด อย่างหลวงตาท่านพูดนะ ถ้าเราเป็นชาวพุทธใช่ไหม ถ้าเราเป็นชาวพุทธ ว่าพุทธศาสนาบังคับ บังคับไม่ใช่หรอก เรานับถือต่างหาก

เหมือนเราเป็นคนไทยเราต้องนับถือกฎหมายไทย เราเป็นคนไทยใช่ไหม ถ้าเราโอนเป็นคนสัญชาติอื่น เรานับถือแบบว่ากฎหมายของเขา นี่ก็เหมือนกันนะ ศาสนา นี่ปัจจุบันเราคิดกันไปเอง เราคิดกันไปเองนะ เพราะอะไร เพราะเราเอา ทุกคนเอาตัวเราเป็นใหญ่ เอาตัวเราเป็นใหญ่ เอาตัวเราเป็นที่ตั้ง เอาตัวเป็นที่ตั้ง ตรงกับความชอบเราไหม ถ้าตรงความชอบเรา ก็นี่เป็นตัวศาสนา ถ้าไม่ตรงกับความชอบเรา เราก็ปฏิเสธ ความชอบเป็นศาสนาที่ไหน ไม่ใช่ ความชอบไม่เป็นศาสนา

นี้ถ้าความจริงล่ะ ความจริงทุกคนว่าทำความดีหมดแล้วล่ะ แล้วความดีเอาอะไรเป็นตัวตัดดิน เอาอะไรเป็นตัวตัดดินเห็นไหม พระพุทธเจ้าถึงบัญญัติศีลไว้ ศีลน่ะเอาตัวศีลเอาเป็นตัวตัดดิน ตัวศีลไงตัวศีลเห็นไหม แล้วพอถือศีลกัน เราก็ไปติดในข้อห้าม ศีลคือข้อห้าม แต่ความปกติของใจ ศีล อธิศีล ถ้าศีลศีลคือข้อบังคับใช่ไหม อธิศีล

พระในสมัยพุทธกาลไง เวลาบอก มี มีปัญหามาก ศีลนี่ตั้ง สองหมื่นสี่พันข้อ ศีลนี่ยุ่งไปหมดเลย จะสึก จะสึก ไปถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกถ้าถือศีลถือศีลข้อเดียวได้ไหม ถ้าถือศีลข้อเดียวบอก ได้ ถ้าถือศีลข้อเดียวไม่สึก ถือศีลข้อเดียวก็รักษาใจไง ศีลคือความปกติของใจ ถ้าใจไม่วอกแวก ใจไม่สั่นคลอน ใจไม่ตามกระแส ตัวนี้คือตัวศีล ตัวศีลคือตัวใจนะ ไอ้นั่นคือข้อห้าม

เหมือนกฎหมาย ถ้าเราไม่ผิดกฎหมาย กฎหมายจะให้โทษเราไหม ถ้าเราไม่ได้ทำความผิด เราทำความผิดขึ้นมากฎหมายถึงจะบังคับ บังคับใช้กฎหมาย ถ้าเราไม่ได้ทำสิ่งใดผิด กฎหมายจะมีอะไร กฎหมายคือกฎหมาย เราก็คือเรา นี่ก็เหมือนกัน ศีลเป็นข้อบังคับข้อห้าม แต่จะบอกว่า ถ้ารักษาศีลก็ต้องมีกฎหมาย ต้องถ้าทำความดี ความดีของใคร ก็ความดีก็ต้อง พระพุทธเจ้าบัญญัติศีลไว้ ศีลก็เป็นข้อห้ามเฉย ๆ เพราะมันศีล ศีล อธิศีล

พระอรหันต์ พระอรหันต์ศีลสมบูรณ์บริสุทธิ์ตลอดเวลา เพราะอะไร เพราะไม่มีเจตนาไม่สิ่งใดทั้งสิ้นเลย ปกติตลอดเวลา อธิศีล คือเป็นศีลโดยธรรมชาติ เป็นศีลโดยตัวของมันเอง เป็นศีลโดยอัตโนมัติเลย สิ่งที่ทำคือกริยาทั้งหมด กริยาที่ภายนอกทั้งหมด แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้… เพราะอะไรเพราะเกิดการกระทำ คนที่จะพูดอย่างนี้ได้ ผู้ที่จะรู้จริงอย่างนี้ มันต้อง มัน ๆ คำว่ารู้จริง มีความมั่นคงมีจุดยืน แต่กว่าจะรู้จริง กว่าจะรู้จริงมันต้องฝึกฝนมา มันต้องมีการกระทำมา มันถึงจะรู้จริงได้

ถ้ารู้จริงขึ้นได้แล้ว มันเห็นที่ทำมา เพราะคนที่รู้จริงจะไม่พูดออกนอก นอกจากรัตนตรัย นอกจากศีลธรรม แล้วพูดถ้าพูดออกนอกศีลธรรม มันจะเป็นธรรมได้ยังไง มันไม่เป็นธรรมหรอก คำว่ามันไม่เป็นธรรมเห็นไหม ดูตัวศาสนาของใคร นี่การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติเราจะประพฤติปฏิบัติเรื่องสิ่งใด ในตัวศาสนาเห็นไหม ผู้ที่เห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต การจะเห็นธรรมได้ มันต้องมีการกระทำของเราขึ้นมาเห็นไหม

แล้วจิตมันมีหลากหลายมาก คำว่าจิตมีหลากหลายเห็นไหม เวลาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเปิดกว้างมาก ในการทำความสงบของใจนะ ใจต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าใจไม่สงบความคิดทั้งหมดมันบวกด้วยกิเลสหมด ความคิดที่บวกด้วยกิเลส นี่คำว่าบวกด้วยกิเลสเห็นไหม เวลาพอปฏิบัติขึ้นมา คนที่เห็นนิมิตเห็นต่าง ๆ มันบวกด้วยกิเลสไหม มันบวกด้วยบุญ มันบวกด้วยบุญนะ เวลาเราไปเห็นสิ่งใดเราจะตกใจมาก ถ้าคนไม่ตั้งใจมันก็จะตกใจ มันจะมีความกระทบกระเทือนหัวใจมาก แต่ถ้าคน คนถ้ามีหลักมีเกณฑ์นะ คนที่มีหลักมีเกณฑ์เห็นไหม สิ่งนั้นเราดัดแปลงแก้ไข

คำว่าบุญหมายถึงว่ามันต้องมีตามสภาวะแบบนั้น เวลาจิตสงบ มันจะรู้มันจะเห็นของมันตามสภาวะแบบนั้น นี้ตามสภาวะแบบนั้นนะ เราจะทำให้มันเจริญดีขึ้นไปอย่างใด เราจะทำให้มันเจริญดีขึ้นไปยังไง ไม่ใช่ปฏิเสธว่ามันไม่มีหรือมันมีไง เห็นไหม เราบอกว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต คนที่เห็นธรรม คนที่บรรลุธรรม มันต้องมีเหตุการณ์ของมันขึ้นมา เขาเรียกว่า เหตุการณ์กระทำจิต มันเปลี่ยนแปลงไงจากปุถุชน กัลยาณปุถุชน

ในปัจจุบันนี้เห็นไหม เขาบอกแล้ว นี่เขายอมรับกัน ว่าจิตต้องเป็นสมาธินะ ถ้าคนปฏิบัติไปแล้ว ถ้ามันไม่มี จิตที่ไม่มีสมาธิ จิตที่ไม่มีหลักนี่ มันเอาอะไรมาอ้างอิง สมมุติเราพูดในสิ่งใดไป เราขาดบางอย่างใช่ไหม เราขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป มันไม่สมบูรณ์ แล้วถ้าเราไม่เคยมีเราก็ต้องแปลกใจ เราเพียงแต่ออกมายอมรับเฉย ๆ มายอมรับว่าต้องทำสมาธิ กลับมายอมรับ แต่การยอมรับนั้นไม่เป็นความจริง ความยอมรับกับความจริงคนละเรื่อง

แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าสมมุติมันสมบูรณ์แล้ว มันมีตามความจริงนี่ ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิ มันเป็นพื้นฐานเลย แล้วผู้ที่เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ผู้ที่จะมีธรรมในหัวใจ เรื่องอย่างนี้ขาดไม่ได้ เรามายอมรับทีหลังไง ว่าจำเป็นต้องทำสมาธิ เริ่มต้นเราบอกเลยไม่ ไม่ต้องทำสมาธิ ใช้ปัญญาไปเลย การวิปัสสนาสายตรง การวิปัสสนานี่มันจึงเป็นประโยชน์ การวิปัสสนาไงมันถึงจะเป็นปัญญา ปัญญาในพุทธศาสนา

แต่พอมีการโต้แย้งขึ้นมาปั๊ป กลับมายอมรับศีล แสดงว่าเราขาดตกบกพร่องใช่ไหม ถ้าเราไม่ขาดตกบกพร่องเราจะกลับมายอมรับทำไม ถ้าการกลับมายอมรับแสดงว่าสิ่งที่ทำมานั้นผิดหมด เอ้า ถ้าสิ่งที่ทำมามันขาด มันขาดไปน่ะ อย่างเงินเราไม่ครบจำนวนอย่างนี้ แล้วเราจะให้มันครบจำนวนนั้นได้ยังไง ถ้ามันขาดอย่างนั้นไป การยอมรับน่ะ การยอมรับว่าต้องทำสมาธิ สิ่งนั้นคืออะไร สิ่งที่ทำมามันก็ไม่สมบูรณ์นะสิ

ถ้าสิ่งที่สมบูรณ์น่ะ ดังนั้น ถ้ามันเป็นความจริงเห็นไหมบอก ถ้าใจมันเป็นธรรม คำว่าใจเป็นธรรมมันจะพูดผิดพลาดอย่างนั้นไม่ได้ ขบวนการของมันจะผิดมาไม่ได้ ถ้าขบวนการออกมาผิดมันจะเข้าไปถึงตัวธรรมได้ยังไง เห็นไหม แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติ เราจะพูดกันมากเลย เวลาเราปฏิบัติถ้าเรากำหนดพุทโธ กำหนดพุทธโธน่ะ เขาบอก มันจะมีความเครียด มันจะมีความอะไรออกจากตัวมันจึงเครียด เราบอกเขา ขาวกับดำ ความคิดของเรา ความคิดของเรามันเป็นกิเลส มันเป็นสิ่งสกปรก มันเป็นสิ่งสกปรกในหัวใจ

ความคิดเรา พุทโธ พุทโธ เป็นความคิดเราไหม พุทโธ พุทโธเป็นความคิดเรานะ เป็นความคิดเราเหมือนกัน แต่ความคิดนี้ ความคิดนี้เป็นความคิด ความคิดสะอาด คำว่าพุทโธ เห็นไหม เป็นความคิดเหมือนกันนะ แต่ความคิดเรามันสืบต่อมันต่อเนื่อง แต่พุทโธมาพุทโธ ความคิดเหมือนกันเห็นไหม ถ้าความคิดต่อเนื่อง คำว่าต่อเนื่องมันสัมพันธ์ใช่ไหม เช่น เราอยาก เราพอใจ เรามีความฝังใจ เรามีความรู้สึกต่าง ๆ เราต้องการให้เป็นความปราถนาของเราเห็นไหม เวลาคิดขึ้นมามันมีตัณหา มันมีกิเลสตัณหาบวกมา

แต่พุทโธเราจะไปเติมอย่างนั้นได้ไง เราจะไปเติมสิ่งใดในพุทโธให้มีอารมณ์ร่วมได้ยังไง พุทโธก็คือพุทโธ พุทโธก็คือพุทโธ พุทโธก็คือพุทโธ พอพุทโธปั๊บกิเลสไม่พอใจ มันไม่เอา ความตึงเครียดเกิดตรงนี้ไง ความเครียดเราเกิดตรงนี้ ขาวกับดำ ความคิดเราดำ พุทโธขาว นี้สิ่งที่เป็นขาวนี้มันตรงข้าม ตรงข้ามกับความคิดเรา ทั้ง ๆ ที่เป็นความคิดเรานะ ทั้ง ๆ ที่เราเป็นปุถุชน ที่เราไม่มีสิ่งใดเลยนะ แต่เราคิดพุทโธ พุทโธ พุทโธ เพราะมันเป็นความคิด ความคิด ธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นพลังงาน มันเป็นตัวจิต

นี้ตัวจิตตัวจิตมันโดนครอบงำด้วยอวิชชา อวิชชาครอบงำจิตไว้ อวิชชาคือตัณหาความทะยานอยาก คือความไม่รู้ในตัวมันเอง ไม่รู้นะว่าสิ่งที่เราทำไป เหมือนเด็ก ๆ เลย จับของร้อนก็ไม่รู้ของร้อน จับของร้อน พอมันร้อนร้องไห้ไปฟ้องแม่ ทั้งที่มันจับของร้อนเองนะ ความคิดก็เหมือนกัน เราคิดของเราเอง เราไม่รู้ว่าเป็นโทษหรอกแต่เราคิด เราคิดของเราเห็นไหม มันพอใจนี่คือตัณหา แต่เราคิดพุทโธ พุทโธ มันของเย็น พุทโธ พุทโธแต่มันไม่ต้องการ เด็กไม่ต้องการ

พอต้องการเราบังคับให้มันคิด บังคับให้อยู่กับพุทโธเห็นไหม คือพลังงานมันจะไปแสวงหาตามแต่ความพอใจของมัน พลังงานตัวนี้ ความตัณหาทะยานอยาก มันจะแสวงหาตามความพอใจของมัน แต่เราบังคับให้พลังงานตัวนี้ไปเกาะเกี่ยวไปกับพุทโธ พุทโธ ๆ ๆ พุทโธมันเลยไปขัดแย้งกับความรู้สึกของเราไง มันไปขัดแย้งกับธรรมชาติของใจเรา ที่มันเคยพอใจ พุทโธ พุทโธ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เป็นสมาธิ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เป็นอะไรเลย ไม่ได้เป็นอะไรเลยนะ

แต่เป็นพุทธานุสสติ เป็นอุบายเป็นอุบายของพุทธเจ้าให้เราฝึกหัด ให้เรากรองใจของเราเอง ให้เรากรองใจของเราเอง พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ เพราะว่าพุทโธมันเป็นพุทธานุสสติ พุทโธ พลังงานที่มันสืบต่อ คิดร้อยแปดพันเก้ามาบังคับให้มันคิดพุทโธ พอบังคับบ่อยครั้ง ๆ มันอึดอัดไง ความเครียดมันเครียดมาเลย ถ้ามันความเครียดอะไรต่าง ๆ เราก็ค่อย ๆ ค่อย ๆ หาทางออก ค่อย ๆ ตั้งสติ ค่อย ๆ ควบคุมมัน ถ้าอยู่กับพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ มันเหมือนน้ำสะอาด น้ำสะอาดใช้ได้ทุก ๆ อย่างเห็นไหม ถ้าน้ำสกปรกมันใช้อะไรกับอะไรได้ แต่น้ำสกปรกจิตมันชอบ

กำหนดพุทโธ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เป็นสมาธินะ แล้วพอมันเป็นสมาธิ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธไป พลังงานมันไม่มีตัณหาใช่ไหม ไม่มีความพอใจของเราเข้าไปบวกใช่ไหม พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธอยู่อย่างนั้นน่ะ จนมันใสสะอาดของมันเองนะ พอมันใสสะอาด เอ้างงอีก เอ๊อะ เอ๊อะ ทั้งนี้ยังไม่เป็นสิ่งใดเลยนะ นี่ทำไมมันถึงเครียดไง นี่การทำ แล้วพอมันเครียดขึ้นปั๊บ มันเป็นถึงว่าพอมันเครียดขึ้นมา แล้วทุกคนไม่พอใจ ทุกคนไม่ต้องการ พอทุกคนไม่ต้องการ ก็บอกว่าสิ่งนี้ทำไม่ถูก

ไปเอาสิ่งที่มันสะดวกสบายดีกว่า สะดวกสบายมันก็เป็นความคิดนี่แหละ เป็นความคิดที่มันเป็นสกปรกนี่แหละ แล้วความคิดสกปรก มันจะสะอาดได้ไหม มันสะอาดได้ไหม เขาบอกเลยนะเอาตัณหาแก้ตัณหา เราบอกเลยนะ เราเล่นการพนันเพื่อหยุดการเล่นพนันได้ไหม เราเล่นการพนันเพื่อหยุดการเล่นการพนัน ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่เป็นอย่างนั้นนะ

ธรรมของพระพุทธเจ้านะ หลวงตาท่านพูดบ่อย ตัณหาความทะยานอยากจะแก้มันได้ด้วยการชักฟืนออก ถ้าเราใส่ฟืนเข้าไป ตัณหาความทะยานอยากมันจะแก้ได้ไหม ความคิด ความคิด เห็นไหม ความคิดที่มันคิดอยู่ มันจะแก้ตัวมันเองได้ไหม แต่เราเอาสติตามเข้าไป เอาสติตามเข้าไป เอาสติตามเข้าไป พอสติเข้าไปมัน มันมีเหตุมีผล มันมีเหตุมีผลเห็นไหม เหมือนกับไฟถ้าเราควบคุมมันดี มันไม่ลุกลามออกไปข้างนอก ถ้าไฟเราไม่ควบคุมมันน่ะ มันประกายไฟมันจะไปลุกลามข้างนอก มันจะทำให้ข้างนอกเสียหายใช่ไหม

เราควบคุมมัน พอควบคุมมัน ควบคุมมันได้ การควบคุมเห็นไหม การควบคุมคนต้องมีปัญญาไหม เวลาลมมันพัดมาเวลาประกายไฟ เราจะควบคุมไฟเราอย่างไร ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าปัญญาอบรมสมาธิมันควบคุมของมันไป มันดูแลของมันไป นี่คือการเริ่มต้นการกระทำนะ นี่ตัวศาสนา ถ้าตัวศาสนา ตัวศาสนาเห็นสิ่งที่มันทำมา มันจะมีวิวัฒนาการของมันขึ้นไป วิวัฒนาการ

อันนี้ถ้าคนมันทำเป็น เหมือนเรา เราเป็นคนโตเราเป็นผู้ใหญ่ เด็กที่ทำมันผิดพลาด เราจะดูแลยังไงเด็กที่มันผิดพลาด ถ้าเด็กไม่มีผิดพลาด อะไรก็ไม่เป็นไร อะไรก็ไม่เป็นไร ไอ้อย่างนี้มันเป็นความอ่อนด้อยของผู้ควบคุมนะ แต่ผู้ควบคุมที่ดี ถ้าเด็กมันจะดีขึ้นมา เด็กมันจะดีขึ้นมา คำว่าเด็กจะดีขึ้นมา อะไรเป็นเครื่องหมายของความดี

เครื่องหมายของความดี ความดีมันต้องมีบอกได้สิอะไรดีอะไรไม่ดี ถ้าสิ่งใดดีหมดดีหมด แล้วมันจะแยกตรงไหน อะไรดีหรือไม่ดี แต่พวกเรา คำว่าดี คือดี ความพอใจไง ถ้าเราพอใจสิ่งนั้นดี ถ้าเราไม่พอใจคือสิ่งที่นั้นคือไม่ดี ตัณหา วิภวตัณหา ตัณหาความทะยานอยาก วิภวตัณหาคือการปฏิเสธ มันสิ่งที่ดี ไม่ดีมันเป็นตัณหาทั้งนั้นน่ะ มันเป็นตัณหาทั้งนั้น แล้วตัณหาทั้งนั้นแล้วเราจะควบคุมมันยังไง มันถึงต้องจับได้ไง

การประพฤติปฏิบัติ จิตมันต้องสงบแล้วมันเห็นของมันนะ ถ้าเห็นของมัน เห็นอาการของมัน เห็นการเปลี่ยนแปลงของมัน เห็นความเป็นไปของจิตที่มันไปยึดไปถือน่ะ ถ้าจิตไปยึดไปถือเวลามันปล่อยวาง มันมีการปล่อยวาง มันมีการปล่อยวางมีการทำลาย มรรคมันเป็นไป มันจะเห็นธรรมจักรที่เคลื่อนไป เห็นปัญญาที่เคลื่อนไป แล้วปัญญาของใคร มันคือเห็นชัดเจนมาก ว่าโลกียปัญญากับโลกุตรปัญญา ปัญญามันคนละปัญญา

มันจะย้อนกลับมาสิ่งที่ว่าเป็นปัญญา ปัญญาของที่เราใช้ปัญญา ปัญญา ใช้ไม่ได้ เราไม่ยอมรับ ปัญญาอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ปัญญาอย่างนี้เป็นโลกียปัญญา ปัญญาของปุถุชน ถ้ามันเป็นปัญญาปุถุชนทำไมมันมีโสดาปัตติมรรค สกิทาคามรรค อนาคามรรค ปัญญา ปัญญามันต่างกันยังไง ปัญญาอย่างเรา นี่เห็นไหม คำว่าโลกียปัญญาน่ะ ปัญญาที่เกิดขึ้นจากเรา เราต้องวางให้ได้ ถ้าเรายังวางปัญญาของเราที่เป็นความคิดของเราไม่ได้นะ จิตมันหดตัว หดเข้ามาเป็นอิสระภาพเป็นตัวมันเองไม่ได้

จิตที่หดตัวเข้ามาเป็นอิสระภาพนั่นคือตัวสมาธิ ฐีติจิตจิตเดิมแท้ ถ้าจิตเดิมแท้มันยังเข้าไม่ถึง ไม่เข้ามาถึงของจิตเดิมแท้ การกระทำของมันทั้งหมด การกระทำ การกระทำของความคิดทั้งหมดเป็นการกระทำของเปลือกนอก การกระทำของเปลือกนอกคือการกระทำของขันธ์ มันต้องหดเข้ามาในถึงตัวของมัน ถ้าหดตัวของมันเพราะกิเลสมันอยู่ที่ตัวของมัน ถ้ากิเลสมันหดเข้ามาถึงตัวของมัน มันแก้ไขที่ตัวของมันได้

นี่ไงถึงว่า ถ้าคำว่าสมาธิ สมาธิสมาธิของใคร ถ้าบอกจิตนี้เป็นสมาธิอยู่แล้ว เป็นสมาธิอยู่แล้ว อันนั้นใช้ไม่ได้ เป็นสมาธิอยู่แล้วมันก็เป็นสมาธิ ดูสิ ดูนักวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ที่เขาทำวิจัยเขามีสมาธิไหม แล้วสมาธิอย่างนั้นน่ะเขาแก้กิเลสได้ไหม แล้วนี่ไง มันถึงขัดกับหลักธรรมของพระพุทธเจ้าไง มันขัดกับหลักธรรมของพระพุทธเจ้า เราถึงว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าตัวสมาธิ แล้วเป็นสมาธิ เราทำสมาธิกันน่ะ สมาธิมันจะเข้าถึงสมาธิ เป็นตัวสมาธิเฉย ๆ เข้าถึงสมาธิ มันเข้าไปแล้วมันต้องมีการรักษา

เราบอกเลยนะ ดูสิ เราทำงานน่ะ มันเหมือนการให้คะแนนเห็นไหม คะแนนมีการสะสมนะ คะแนนสะสมเข้ามาเราถึงจุดหนึ่งเราจะผ่าน แต่การทำสมาธิไม่มีคะแนนสะสมนะ วันนี้ทำสมาธิได้ดีมากเลย พรุ่งนี้ทำสมาธิใหม่ก็ต้องเริ่มต้นใหม่ มันสมาธิมันจะสะสมตรงไหน มันเป็นปัจจุบันตลอดไง มันเป็นปัจจุบันตลอดแล้วมาทำแล้วมันเสื่อมไป มันไม่ชำนาญขึ้นมา มันไม่ชำนาญของมันขึ้นมาอีกนี่ไง ถือว่า ถ้าเป็นสมาธิ เป็นสมาธิคือว่าจิตมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน ถ้าจิตมีหลักมีเกณฑ์ของมันแล้ว ถ้ามันออกปัญญา มันออกไปใช้ปัญญา มันเห็นความต่าง

แต่นี่เวลาพูดกันมันไม่มีความต่างเลย มันคำว่า คำว่าปัญญา ปัญญาก็คือปัญญาอย่างนั้นน่ะ ปัญญาอย่างนี้คือปัญญาโลก ถ้าปัญญาโดยธรรมเห็นไหม ดูสิ เวลา เวลาเขาฟังเทศน์กันนะ เขามาหาว่า เวลาเทศน์ของหลวงตา เทศน์ของครูบาอาจารย์ ท่านบอกเวลาปัญญามันหมุนน่ะ ปัญญามันหมุนก็เหมือนกับความคิดเราคิดตลอดเวลา ถ้าเราคิดตลอดเวลาทำไมเราเครียด คนคิดจนอยู่ไม่ได้นะ คนคิดจนนอนไม่หลับ คนคิดจนวิตกกังวลไปหมดเลย แล้วความคิดนี้เป็นธรรมรึเปล่า เป็นธรรมทำไมมันนอนไม่ได้ เพราะถ้าความคิดอย่างนี้เป็นธรรม

แต่ถ้าความคิดของธรรมจักรนะ ความคิดของมรรคนะ มันยิ่งคิดมันยิ่งเพลินนะ ถ้ามันไม่เพลินนะ มันจะทำให้เรา เดินจงกรมนั่งสมาธิ ใช้ปัญญาถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน ปัญญามันจะหมุนติ้ว ติ้ว ติ้ว อย่างนี้ หมุน หมุนจนนอนไม่ได้นะ ปัญญามันหมุนตลอดเวลา แล้วทำไมมันหมุนแล้ว ทำไมมันมีความสุข มันหมุนแล้ว มันเข้ามาทำลายไง มันเข้ามาทำลายกิเลสไง ถ้าปัญญาอันนั้นที่มันเกิดปัญญามันไม่เหมือนกัน ปัญญาฆ่ากิเลสกับปัญญาที่เราใช้ตรรกะนี้ไม่เหมือนกัน มันคนละปัญญากัน ถ้าปัญญาอย่างนี้ฆ่ากิเลสได้นะพระอรหันต์ทั่วโลกเลย ทุกคนเป็นพระอรหันต์หมด ทุกคนมีปัญญาอยู่แล้ว

นี่ไงเราบอกว่า เวลาพุทธเจ้าสอนว่าศาสนาพุทธ เป็นศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาในศาสนาน่ะ ปัญญาในธรรม หรือปัญญาในโลก ปัญญาในโลกหมายถึงว่าโลกทัศน์ หมายถึงจิต ปัญญาเกิดจากจิต ปัญญาทั้งหมดพวกเรา คำว่าโลกียปัญญา แล้วความคิดเราเกิดจากสถานะของจิต ภพไง ความคิดเกิดจากที่ไหน ความคิดเกิด ปืนยิงออกไปจาก ลูกกระสุนต้องออกไปจากตัวปืน เขายิงจรวดยิงยานอวกาศเขาออกจากฐาน ฐานยิงของมัน ความคิดมันจะลอยมาจากฟ้าเหรอ ถ้าความคิดมันลอยมาจากฟ้า อย่างคลื่นโทรศัพท์ ใช่มันลอยมาจากคลื่น คลื่นโทรศัพท์มันลอยมา แต่มันไม่มีชีวิตนะ มันไม่มีความรู้สึกนะ

แต่ของเราความคิดทั้งหมดเกิดจากจิต ความคิดทั้งหมดเกิดจากจิตเกิดจากฐานที่ยิงออกไป แล้วความคิดอันนั้นมันเกิดขึ้นมาที่ว่ามันเป็นปัญญา ปัญญา ฐานยิงมันสกปรก ฐานยิงมันคืออวิชชา ความคิดอันนี้ที่ว่าโลก ๆ โลกก็เกิดจากภพเรา จากความคิดของเรา แล้วถ้ากลับมาทำจากความคิดปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาใคร่ครวญในความคิดเห็นไหม ปัญญาใคร่ครวญในทางความคิด

ถ้าดูอยู่เฉย ๆ มันเพ่ง เพ่งมันเป็นกสิณ ถ้าเป็นกสิณน่ะ คำว่ากสิณน่ะเหมือนกับกล้องวงจรปิด มันเพ่งสิ่งใดอยู่มันจับภาพนั้นไว้ มันตัวมันเองจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย คนที่ไปเอาข้อมูล คือไปเอาภาพนั้นมาใช้มันถึงได้ข้อมูล เพ่งอยู่ก็เหมือนกัน เพ่งอยู่มันได้อะไร ดูเฉย ๆ มันได้อะไร การดูอยู่ ตอนนี้เขาบอกตอนนี้เขายอมรับแล้วว่า ดูแล้ว ดูการเกิดดับ แล้วดูใคร ใครเป็นคนที่มาของการเกิดดับ การเกิดดับดูอยู่น่ะ เขาลืมไป เขาลืมไปว่าจิตมันมหัศจรรย์

แม้แต่คนในโลกนี้นะ เวลาคนตายไปเห็นไหม คนที่มีบารมีขึ้นมา เขาเกิดเป็นเทพเป็นเทวดา เป็นอินทร์เป็นพรหม เห็นไหม ดูสิ เวลาพวกนักปฏิบัติขึ้นมา จากจิตหนึ่ง จากบุคคลคน ๆหนึ่งทำให้เป็นพันคน ทำให้เป็นล้านคน ทำไมมันทำได้ ทำได้หมดเลย เพียงแต่เข้าไอ้ เข้าสมาบัติมันก็ทำได้แล้ว พอทำได้แล้ว ถ้าความคิดมันมาจากโลก ธรรมชาติของจิตมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว มันเป็นความมหัศจรรย์ของมันอยู่

ทีนี้พอความคิดมันเกิดขึ้นมา มันก็เกิด เกิดความรู้สึก เกิดต่าง ๆ สิ่งที่เขาพูดกัน มันอยู่ตรงนี้เราเข้าใจนะ ที่เขาแสดงธรรม ๆ แสดงธรรมตรงนี้แค่นั้นหล่ะ แสดงธรรมคือวิวัฒนาการของจิตที่มัน มันแปรสภาพน่ะ มันเป็นเรื่องธรรมดาของจิต จิตมันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว มันเป็นเรื่องธรรมชาติของมัน แต่เราเอาธรรมะกับปฏิกิริยาพัฒนาการของมันมาสวมใส่กัน เอาตัวจิต ตัวจิตธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้อยู่แล้วใช่ไหม ถ้าจิตมันสงบขึ้นมามัน มันเกิดภาพ เกิดความว่าง เกิดสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้น

แล้วก็ธรรมะพระพุทธเจ้าแสดงธรรมะอริยสัจจ์ไว้อีกอย่างหนึ่ง เอาอริยสัจจ์ กับความรู้สึกของตัว มาสวมใส่กัน พอสวมใส่กันแล้วก็อธิบายธรรม อธิบายว่าสิ่งนี้เป็นธรรมไง สิ่งนี้เป็นธรรมไง แล้วก็สิ่งพอเป็นธรรมปุ๊บมันมีวิวัฒนาการของมัน ก็บอกว่าได้ขั้น ๆ ได้ขั้นใดขั้นหนึ่ง ได้โสดาบัน ได้สกิทา ได้อนาคา ไม่ใช่ มันเหมือนเราเห็นนิมิตนั่นน่ะ เห็นนิมิตขึ้นมาทีหนึ่งปล่อยวางทีหนึ่ง โสดาบัน เห็นนิมิตทีหนึ่ง เห็นพัฒนาการของจิตหนหนึ่ง ได้สกิทา เห็นพัฒนาการของจิต มันเหมือนเราลองวิทยาศาสตร์ เราเข้าห้องทดลองหนหนึ่ง เราทดลองวิทยาศาตสร์หนหนึ่ง ออกมาบอกเราได้ใบประกาศใบหนึ่ง ทดลองอีกหนหนึ่งได้ใบประกาศใบที่สอง มันก็เป็นเรื่องโลกไง

เราไม่อยากพูดนะ เพราะเราพูดออกไปอย่างไรก็แล้วแต่นะ คนที่เขา ๆ เขาต้องการผลประโยชน์ เขาจะเอาของเราไปพลิกแพลง เรารู้ทัน เรื่องอย่างนี้เราไม่เคยพูดออกมาเลย เราไม่พูด ทั้ง ๆ ที่รู้ ที่เขาคุยกันเขาพูดกันเรื่องธรรมะน่ะ เรื่องโลก ๆทั้งนั้นน่ะ มันเรื่องของพัฒนาการของจิตมันเป็นของมัน แล้วถ้าไม่มีธรรมะพระพุทธเจ้า เราก็ไม่สามารถเอาสิ่งนั้นมา มาพูดเป็นสูตร สูตรทฤษฎีได้ อย่างเช่นเราไปรู้ไปเห็นอะไรเห็นไหม เราก็งง แต่พอเราเทศน์ธรรมะปั๊บ มันสวมกันได้ทันทีเลย มันไม่จริงหรอก

แต่ถ้ามันจริงนะ อริยสัจจ์มีหนึ่งเดียว ไม่พูดอย่างนั้น ถ้าอริยสัจจ์มีหนึ่งเดียวเพราะอะไรรู้ไหม เพราะโดยธรรมชาติ ธรรมดาเรื่องที่จิตมันเป็นพัฒนาการของมัน ความเป็นไปของจิต ทุกคนเป็นอยู่ ทุกคนมีอยู่ จิตนี้มีอยู่ แต่ แต่มันหยาบละเอียดต่างกัน อย่างที่คำว่าหยาบ อย่างเช่นเราเป็นคนหยาบ คนหยาบเราไม่สนใจเรื่องจิตเราเลย เราสนใจแต่เรื่องข้างนอกเราสนใจเรื่องอารมณ์ เรื่องความรู้สึกความคิด แล้วเกิดทิฏฐิมานะนะ เอาความคิดเข้าต่อสู้กัน ดูโลกที่มีปัญหากัน เพราะอะไร กระทบกระทั่งกันด้วยความคิดนะ ความคิดอารมณ์เห็นไหม เวลาคนกระทบกระทั่งกันด้วยความคิดต่าง ๆ

นี่ไง ถ้าคนมันหยาบ มันก็ไปเห็นสภาวะแบบนั้น ถ้าคนละเอียดเข้ามาก็หดสั้นเข้ามา หดเข้ามาที่ตัวของจิต ตัวของจิต จะภาวนาไม่ภาวนาธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้น ข้อมูลเดิมของจิตเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นนะเวลาพระพุทธเจ้า เวลาปฐมยามน่ะจิตมันเข้า จิตมันสงบเข้ามา บุพเพนิวาสานุสติญาณน่ะ อดีต ระลึกอดีตชาติมันมาจากไหน มันมาจากข้อมูลในหัวใจนี่แหละ

เพราะพระพุทธเจ้าบอกนะ เราเคยเป็นพระเวสสันดร เราเคยเป็น เป็นที่ว่าเราเคยเป็น คำว่าเคยเป็น จิตพระพุทธเจ้าเคยเกิดในชาตินั้น พอจิตพระพุทธเจ้าเคยเกิดในชาตินั้น พอมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ไอ้ข้อมูลนั้นมันก็อยู่ในจิตดวงเก่า แต่ปัจจุบันเป็นพระเจ้าสิทธัตถะ เพราะว่าเป็นบุพเพนิวาสานุสติญาณเห็นไหมนี่ข้อมูลของจิต ข้อมูลของจิต ระลึกอดีตชาติได้ยังสำเร็จเป็นพระอรหันต์ไม่ได้เลยจุตูปปาตญาณถ้ามันขับเคลื่อนไปก็ยังไม่ใช่เลยนี่ข้อมูลของมันนะ

นี่วิชชา ๓ ขนาดว่าระลึกอดีตชาติอะไรต่าง ๆ ยัง ๆ ยังไม่เข้าอริยสัจจ์เลย แล้วพอจิตมันเป็นไป สภาวะแบบนั้น เราถึงใช้คำว่าพัฒนาการของมัน ธรรมชาติของมัน มันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แล้วพอคนเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วนะ เจ้าชายสิทธัตถะ ได้รับการรับรองจากอาฬารดาบส เข้าสมาบัติ ๘ ว่า มีความรู้เสมอเรา มีความเห็นเสมอเรา เจ้าชายสิทธัตถะไม่เอา ไม่เอา

นี่ไงเพราะว่าทำตัวสมาธิ แก้กิเลสไม่ได้ ใช่ ตัวสมาธิแก้กิเลสไม่ได้ สมาบัติ ๘ ตัวสมาธิ แก้กิเลสไม่ได้หรอก แต่ตัวของมันน่ะตัวของมันเห็นไหม ถ้าตัวของมัน ถ้าเป็นสมาธิน่ะ ไอ้ข้อมูลน่ะ ไอ้สิ่งต่าง ๆ ที่มันจะพุ่งออกไป ออกไปที่รับอารมณ์ความรู้สึกมัน มันดับได้ พอมันดับได้ มันไปถึงตัวของมันไง พอถึงตัวของมัน ก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จสัมพุทธเจ้า ธรรมะยังไม่มี

เวลาองค์สมเด็จสัมพุทธเจ้าบอกว่าเวลาพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว ธรรมะมีอยู่แล้ว ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม คือสัจจะ สัจธรรมมันมีอยู่โดยดั้งเดิม แต่ผู้รู้ ผู้รู้ที่มีชีวิต ผู้ที่มีประสบการณ์จริง มันยังไม่มี แล้วองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นผู้ตรัสรู้ เป็นผู้ไปรู้ขึ้นมาเห็นไหม ถึงมาแสดงธรรมจักรไง พอธรรมะมันเกิดขึ้นมา

สิ่งนี้ถ้าใครภาวนาเข้าไปน่ะ มันจะเห็นจิตของเรา เห็นจิตของเรามันพัฒนาการจากปุถุชน ปุถุชน ปุถุชนทำสมาธิยากที่เราทำสมาธิกันยาก ๆ อยู่เพราะว่าเราเป็นปุถุชน คำว่าปุถุชน รถ ธรรมชาติเราจอดรถเราต้องปลดเกียร์ว่างใช่ไหม เราต้องปลดเกียร์เพราะไม่ปลดเกียร์ เราดับเครื่องไม่ได้ แต่ธรรมชาติของจิตที่มันเกิดน่ะ มันเหมือนกับรถอยู่ในเกียร์ รถที่เข้าเกียร์อยู่นี่ติดเครื่องได้ไหม ติดเครื่องรถจะออกทันทีใช่ไหม

ความคิดเรากับจิต ธรรมชาติของจิตน่ะ มันอยู่ในเกียร์ คือพลังงานนี้ กับความคิดมันจะหมุนกันไปตลอดเพราะมันอยู่ในเกียร์มันต้องรั้งกันตลอด เราพยายามพุทโธ พุทโธ หรือทำความสงบ มันปลดเกียร์ว่าง ถ้ามันปลดเกียร์ว่างได้เห็นไหม ถ้ามันปลดเกียร์ว่างได้เราติดเครื่องได้ แล้วถ้าติดเครื่องได้แล้ว เครื่องมันติดแล้วเราไม่ใส่เกียร์ ก็ไม่มีปัญญาเหมือนกัน

ที่เราทำสมาธิกันปุถุชนเห็นไหม คำว่าปุถุชน มันใส่เกียร์อยู่ไง พอใส่เกียร์อยู่ทำอะไรไม่ได้เลย มันก็ทำได้ในฐานะของมนุษย์ มนุษย์ความคิดได้ ศึกษาได้ ทุกอย่างได้ แล้วพัฒนาการจิตมันมี แล้วมันก็เคลื่อนไหวของมันได้ แต่ถ้ามัน เราปลดเกียร์ว่างได้เห็นไหม เราปลดเกียร์ว่างได้ ปลดเกียร์ว่างได้ มันจะปล่อยได้ อันนี้เป็นอริยสัจจ์นะ

เพราะว่าปุถุชน ปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน กัลยาณปุถุชนน่ะจะขึ้นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติมรรคจะขึ้นโสดาปัตติผล พัฒนาการวิวัฒนาการอันนี้ เป็นอริยสัจจ์ แล้วคนที่พูดวิวัฒนาการอันนี้ไม่เป็น มันจะรู้ธรรมะได้ยังไง คนที่ไม่รู้วิวัฒนาการของมันน่ะ คือจิตมันไม่เปลี่ยนแปลงไง จิตมันไม่มีวิวัฒนาการของมัน จากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน จากกัลยาณปุถุชนเป็นโสดาปัตติมรรค จากโสดาปัตติมรรคเป็นโสดาปัตติผล จากโสดาปัตติผลเป็นสกิทาคามรรค จากสกิทาคามรรคจะเป็นสกิทาคาผล จากสกิทาคาผลจะเป็นอนาคามรรค อนาคามรรคจะเป็นอนาคาผล จะเกิดอรหัตตมรรค เกิดอรหัตตผล นี่ นี่คืออริยสัจจ์ที่มันเป็นจริง

แต่คำพูดที่พูดกันน่ะ มันไม่มีวิวัฒนาการอย่างนี้ พัฒนาการของมันคือมันวนอยู่ในอ่าง มันวนอยู่ในวัฎฎะ เหมือนต้นไม้น่ะ เหมือนเมล็ดพันธุพืช ถ้ามันตกลงดิน มันต้องเกิดอีกต่อไป มันเกิดมันอยู่ มันเกิดในดินเห็นไหม พอมันมีดิน มีน้ำ มีอากาศ มันต้องเกิดต่อไป เพราะอะไรมันมีชีวิต จิตที่พัฒนาการของมันก็อยู่ในวงจรอย่างนี้ วงจรอย่างนี้มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้วเห็นไหม ต้นไม้ตายไป ถ้าเมล็ดพันธุ์พืชมันอยู่มันจะเกิดต่อไป จิตที่มันยังวิวัฒนาการ มันก็วิวัฒนาการของมันไปอย่างนี้ เดี๋ยวต้นไม้ใหญ่เดี๋ยวต้นไม้เล็ก

แต่พัฒนาการ พัฒนาการของอริยมรรคมันอยู่ที่ไหน มรรคที่มันเป็นไป ตรงนี้พูดกันผิดทั้งนั้น พูดกันไม่เข้าหลักเลย คนที่เป็นอริยสัจจ์ เป็นสัจจะความจริง แล้วมันพูดความจริงไม่ถูก คนที่มันเป็นจริงแล้วมันพูดจริงไม่ได้ มันเป็นจริงได้ยังไง เราจะมีสถานะกัน เราจะมีเงินทองกัน เงินทองนี้ใครเป็นคนให้เรามา เงินทองเราต้องหาเอาของเรามา อริยทรัพย์ภายใน ใครเป็นคนได้มา ใครเป็นคนหามา

แล้วมันบอกวิธีหามาไม่เป็น มันบอกวิธีการหามาโดยที่มันบอกว่า มันเป็นการเก็บตกเอาจากถนน เดินไปตามทางเขาทำเงินหล่นไว้เต็มถนนเลย มันเก็บมา แต่ถ้าเป็นของเรามันไม่ใช่ เราต้องมีการกระทำของเรามาตลอดเห็นไหม เราต้องทำของเรามา มันถึงจะเป็นของเรามา แล้วจะมายอมรับกันว่าเป็นสมาธิ สมาธิมีอยู่แล้วโดยดั้งเดิม มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

เพราะสมาธิมันเป็นมันเป็นสมาธิของปุถุชน มันเป็นสมาธิของมนุษย์ แล้วสมาธิที่เป็นกัลยาณปุถุชนอยู่ที่ไหน สมาธิที่เป็นโสดาปัตติมรรค สมาธิของสกิทาคามรรค สมาธิของอนาคามรรค สมาธิของอรหัตตมรรค สมาธิแต่ละระดับไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกัน ถ้าเหมือนกันมันต้องเป็นโสดาปัตติมรรค แล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์ไปเลย โสดาปัตติมรรค ผลของมันคือโสดาปัตติผล สกิทาคามรรค ผลของมันคือสกิทาคาผล อนาคามรรค ผลของมันคืออนาคาผล อรหัตมรรค ผลของมันคืออรหัตตผล ไปดูในวิสุทธิมรรค

ในวิสุทธิมรรคจะบอกเลย โสดาปัตติมรรคค่าของมันในการเทียบของมรรค ของมรรคสี่ผลสี่จะมีสมาธิยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ ปัญญาทุกอย่างยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ สกิทาคามรรคนี่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ อนาคามรรคเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ อรหัตตมรรคนี่หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เวลาปฏิบัติโสดาปัตติมรรค มันเป็นค่าร้อยเปอร์เซ็นต์ของโสดาปัตติมรรค เพราะจิตของเรา มันยังไม่มีพื้นฐาน จิตของเรามันไม่มีสิ่งใดเป็นบรรทัดฐาน พอมันทำของมันน่ะมันก็ทำ เหมือนเรามีการศึกษาเห็นไหม

เราศึกษาในขั้นตอนไหนที่เราเป็นเด็ก เราก็ศึกษาด้วยสมองทั้งหมด โดยความสามารถทั้งหมดของตัวเราเลย แต่พอเราผ่าน ผ่านการศึกษาระดับนั้นไป ระดับที่สูงกว่าเห็นไหม เวลาเราผ่านระดับที่สูงกว่าแล้วเรามองระดับที่ล่างกว่า เรารู้ระดับที่ล่างกว่า มันง่ายกว่าตั้งเยอะแยะเลย แต่ระดับที่เราศึกษาเข้ามามันยากมาก ๆ เลย ยิ่งขึ้นไปยิ่งยาก ยาก ยาก ยากเข้าไปใหญ่เลย ผลของสมาธิมันยากเพราะอะไร ยากเพราะความละเอียดไง ความละเอียดของการหลอก มันเหมือนสายบังคับบัญชา จิตมันเป็นอวิชา มันเป็นตัวจักรพรรดิ์ มันมีแม่ทัพ มีนายกอง มีต่าง ๆไป

นี่ไง หลวงตาครูบาอาจารย์ที่ภาวนาเป็นท่านจะบอกว่า ลูกหลานของกิเลสไง ตัวอวิชาคือตัวปู่ ตัวกามราคะพ่อแม่ ตัวสกิทาคือตัวลูก ไอ้ตัวโสดาบันคือตัวหลาน กิเลสหยาบ ๆ แล้วกิเลสหยาบ ๆ แต่คนปฏิบัติไม่เป็น มัน ๆ ก็ต้องละเอียดของมัน มันละเอียดของมันตามธรรมชาติของมัน นี่พูดถึงขั้นตอนของมันนะ นี่ขั้นตอนของมันแล้วเวลากระทำ คนที่จะพูดขั้นตอนของมันคนที่เป็นพระโสดาบัน คนที่เป็นพระอรหันต์ พูดอย่างนี้ ผิด ๆ ถูก ๆ มันเป็นไปได้ยังไง ถ้ามันเป็นอย่างนี้ไป แสดงว่าสิ่งที่ทำมานี้ไม่มีพี้นฐานเลย ไม่มีอะไรเป็นบรรทัดฐานให้จิตนี้พัฒนาขึ้นมาได้เลย

สิ่งที่พูดมานะบอกว่าเป็นปัญญา ๆ เราจะบอกว่าสัตว์มันก็มีปัญญา ถ้าสัตว์มันไม่มีปัญญา ควาย พวกโคควายมันเป็นหัวหน้าฝูงนะ ดูสิ เวลาสัตว์เวลาหมา เวลาฝูงหมานะ พอมันมีหมาหนุ่มขึ้นมา ไอ้หมาหนุ่ม มันจะเป็นจ่าฝูง มันจะคว่ำ คว่ำจ่าฝูง แม้แต่หมาจ่าฝูงมันจะควบคุมฝูงของมัน มันจะดูแลฝูงของมัน จะบอกว่าเราเป็นปัญญานะ สัตว์ก็มีปัญญา ถ้าสัตว์ไม่มีปัญญา มันควบคุมฝูงของมันไม่ได้

นี่ปัญญาของใคร ปัญญานี้เป็นปัญญาของใคร เพราะอะไร เพราะในมรรคนะ มันมีสติ มหาสติ ปัญญามีปัญญา มหาปัญญา แล้วคำว่าสติกับมหาสติมันต่างกันตรงไหน ปัญญากับมหาปัญญามันต่างกันยังไง ฉะนั้นครูบาอาจารย์ท่านพูดไง ครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม หลวงปู่มั่นพูดนี้ซึ้งมาก หมู่คณะให้ปฏิบัติมานะ การแก้จิตนี้มันแสนยาก ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ให้ภาวนามาผู้เฒ่าจะแก้ ผู้เฒ่าตายไปแล้วหาคนแก้ไม่ได้นะ

ถ้าผู้เฒ่าตายไป ใครจะแก้ให้ หลวงปู่มั่นน่ะท่านละล้าละลังเรื่องนี้ะมาก เวลาท่านจะเสียชีวิตนะ หมู่คณะเอาผมไปตายที่วัดป่าสุทธาวาส วัดป่าสุทธาวาสมันมีตลาด ผมตายคนเดียวแล้วอย่าให้คนอื่นเดือดร้อนไปกับผมด้วย อย่าให้สัตว์มันตายไปกับผม ให้ผมขอตายคนเดียว แล้วเวลาจะตายเห็นไหม หมู่คณะจำไว้นะ หลวงปู่ขาวได้คุยกับเราแล้วนะหลวงปู่ขาว เป็นที่พึ่งได้นะ

พระเด็ก ๆ จะพึ่งใครนะ ให้พึ่งมหานะ เพราะอะไร เพราะคนจริงรู้จริงมันถึงจะพาหมู่คณะไปตามความเป็นจริง คนไม่จริง นอกจากนี้ไปหลวงปู่มั่นไม่เอ่ยชื่อใคร หลวงปู่มั่นไม่ให้บอกให้ไปพึ่งพาอาศัยใคร เพราะถ้าพึ่งพาอาศัยมันจะพามึงไปไหนกัน ถ้าข้างในมันไม่ผ่านวิวัฒนาการ ไม่ผ่านการกระทำของมันมาน่ะ มันไม่ผ่านการกระทำ เหมือนเราทำงานไม่เป็น แล้วมันจะรู้ได้ยังไงว่างาน งานนั้นควรทำยังไง

งานที่การกระทำถ้ามันไม่ประสบความสำเร็จ หรือเราทำแล้ว มันทำแล้วเราทำไม่ได้ เราก็ต้องพยายามฝึกฝน พยายามหาช่องทาง ทำให้มัน ให้มันเข้าถึงเป้าหมายให้ได้ ไม่ใช่ว่าเราทำไม่ได้แล้ว แล้วบอกอย่างนี้ไม่ต้องทำ แล้วไปทำอย่างอื่น อย่างนี้ไม่ต้องทำ ถ้าอย่างนี้ไม่ต้องทำ อริยสัจจ์มีหนึ่งเดียว ต้องเข้ามาช่องทางนี้ช่องทางเดียว ช่องทางอื่นไม่มี

ถ้าช่องทางอื่นมีพระพุทธเจ้าสอนแล้ว เพราะพระพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ ถ้าพระพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ ถ้าช่องทางที่สะดวกมี คนที่ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ เหมือนพ่อแม่อยากต้องการให้ลูกเป็นคนดี ลูกไปทำสิ่งที่ดี ทำไมพ่อแม่นั้นไม่บอกให้ลูกไป ๆ ไปตรงจุดนั้น มันไปจุดนั้นมันไปดีไม่ได้ มันจะไปดีได้มันจะไปพ้นจากทุกข์ได้ มันต้องไปเข้ามาจุดนี้จุดเดียว ถ้าเข้ามาจุดเดียวพระพุทธเจ้าถึงบัญญัติอริยสัจจ์อันนี้เอาไว้อันเดียว

แล้วใครประพฤติปฏิบัติมา ถ้าเข้าอริยสัจจ์อันนี้แล้ว จิตนี้กลั่นออกจากอริยสัจจ์มา มันต้องเป็นเหมือนกัน พระอรหันต์ พระอรหันต์ไม่ทะเลาะกันหรอก พระอรหันต์กับพระอรหันต์ ดูสิ หลวงตาท่านบอกไงเห็นไหม เวลามีพวกแม่ชีไปถาม ว่าสิ้นกิเลสแล้ว ไปถามหลวงตาว่า หนูสำเร็จแล้วทำไง หลวงตาท่านพูดเลย เราถามใคร หลวงตาท่านถามใคร เพราะอะไร เพราะจิตมันสิ้นขบวนการแล้วมันรู้ของมันเอง พระอรหันต์ไปถามใคร

หนูเป็นพระอรหันต์หรือยัง ถ้ามึงถามก็มึงไม่รู้ ถ้ามึงรู้แล้วมึงก็รู้แต่ตัวมึงนั่นล่ะ แล้วมึงมาถามใคร เอ้าหนูเป็นใคร หนูเป็นใคร มึงบ้าเหรอ ก็มึงเป็นมึงไง แล้วถ้ามึงเป็นมึงแล้วกลัวอะไร เราเป็นเราเรากลัวอะไร เราก็พูดขบวนการของเราออกมาสิ ขบวนการหนึ่ง สอง สาม สี่ หนึ่ง สอง สาม สี่ นี้มันถูกไม่ถูก ก็เอาหนึ่ง สอง สาม สี่ มาเทียบกัน ถ้าหนึ่ง สอง สาม สี่ กับหนึ่ง สอง สาม สี่ มันอันเดียวกัน จบ

หนึ่งสองสามสี่กับหนึ่งสองสามสี่คนละเรื่องกัน ไม่มึงผิดก็กูผิด ต้องผิดคนนึง อริยสัจจ์มีหนึ่งเดียว พระศรีอริยเมตไตรยก็มาตรัสรู้อันนี้ พระศรีอริยเมตไตรยก็มาตรัสรู้อันนี้ พระพุทธเจ้าองค์ที่ผ่าน ๆ มาก็ตรัสรู้อันนี้ มีหนึ่งเดียว ไม่มีสอง มีหนึ่งเดียว แล้วหนึ่งเดียว ถ้าหนึ่งแล้ว ถ้าหนึ่งอันเดียวกันมันจะกลัวอะไร ยิ่งเราเป็นนักปฏิบัตินะ

อย่างที่หลวงปู่มั่นท่านพูดน่ะ เราเสียเวลาเปล่านะ เราเอามาเทียบกัน แล้วผิดถูกเราคุยกันด้วยสุภาพนะเราคุยกันด้วยเหตุด้วยผล ผิดถูกก็แก้ไขกัน มันจะเป็นอะไรไป พูดธรรมะมันเสียหายตรงไหน มันเป็นมงคลชีวิตนะ ธรรมะสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง เป็นมงคลชีวิตอันหนึ่งนะ เราฟังธรรม เป็นมงคลชีวิตอันหนึ่ง วันนี้ะพูด เอ้าแล้วเราคิดเราเทียบเคียงมา เราคุยธรรมะกันมันเสียหายตรงไหน ถ้าคุยธรรมะกันนะ หลวงตาบอกว่าถ้าคุยธรรมะกันแบบหมากัดกัน มันไม่เอาเหตุเอาผลมาคุยกัน เอาทิฏฐิมานะมาคุยกัน ถ้าเอาเหตุเอาผลมาคุยกันนะ มันไม่จำเป็นหรอก

โธ่ สามเณรน้อยอายุเจ็ดขวบเป็นพระอรหันต์นะโว้ย เด็กก็เป็นพระอรหันต์ได้ พอเราบอกเด็กก็เป็นพระอรหันต์ได้ พวกเราก็ไม่เชื่อแล้ว เด็กมันเป็นพระอรหันต์ได้ยังไง ดูสิ เด็กของเราเลี้ยงมันยังไม่มีความฉลาดเลย เด็กจะเป็นพระอรหันต์ได้นะ เขาต้องสร้างบุญของเขามา ความจะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา จิตของเขาสมบูรณ์พร้อม เขามีเหตุมีผลยิ่งกว่าผู้ใหญ่อีก เราเป็นผู้ใหญ่น่ะ ความรู้สึกของเราความคิดของเราสู้เด็กไม่ได้ เฉพาะเด็กคนนั้น เด็กคนนั้นคือสภาพร่างกายเป็นเด็ก แต่หัวใจของเขา หัวใจของเขาไม่ใช่เด็ก ถ้าหัวใจของเขาเด็ก เขาจะรู้เรื่องอย่างนี้ได้ยังไง

มันสำเร็จกันได้ที่หัวใจนั้น มันไม่ได้สำเร็จกันที่อายุ อายุเจ็ดขวบแปดขวบนั่น มันสำเร็จที่ใจดวงนั้นน่ะ ใจดวงนั้นมันมีคุณภาพมาก ถ้าใจดวงนั้นมันมีคุณภาพมาก มัน ๆ ก็เด็กคนไหน มันเดินไปบนถนนผู้ใหญ่ยังไม่ได้คิดเลยนะ ลูกศิษย์ ลูกศิษย์พระสารีบุตรเห็นเขาชักน้ำเข้านาไง ถามอาจารย์เลยว่า น้ำมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต เด็กมันถามน่ะ น้ำมีชีวิตไหม อาจารย์พระสารีบุตรบอกไม่มีชีวิต มันก็มันกระเทือนใจ กระเทือนใจ จิตเณรไง

สิ่งที่ไม่มีชีวิต เขายังเอามาใช้ประโยชน์ได้ แล้วเราเป็นสิ่งที่มีชีวิต หัวใจของเรามันมีชีวิต ทำไมหัวใจเราไม่พัฒนา มันเหมือนกับเอาน้ำ ค่อยน้อมเข้าเอามาติตัวเอง ว่าน้ำมันไม่มีชีวิตมันยังมีคุณค่าขนาดนั้น แล้วจิตของเรามีคุณค่าขนาดไหน มันน้อมกลับมานะ เรามองโลกตลอดเวลา เหมือนพระสารีบุตรเลย ไปฟังพระอัสสชิน่ะ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ พระพุทธเจ้าสอนให้ไปแก้ที่เหตุนั้น ฟัง ปิ๊งเป็นพระอรหันต์เลย

เราท่องกันปากเปียกปากแฉะ เราท่อง ได้แต่สัญญามา แต่หัวใจของเรามันไม่เปิดรับ หัวใจของเรามันไม่ซาบซึ้ง นี่ไง ภวาสวะ ภพจิตที่มันมีภาระเห็นไหม ที่ว่าสัมโพชฌงค์น่ะ ภาระมันมีพัฒนาการของมัน มันวิวัฒนาการของมัน มันมีฐานรองไง ฐานะของจิตที่จะรับสถานะของพระโสดาบัน สถานะที่จะรับพระสกิทา สถานะที่จะรับพระอนาคา สถานะที่รับพระอรหันต์นะ

ถ้าไม่มีสถานะอันนี้รับ เขาเรียกว่าสุดวิสัย คือภาวนาไปแล้วก็ภาวนากันที่ไม่ได้ผล แต่ถ้าภาวนาได้ผล แล้วสภาวะสถานะ มันเกิดจากอะไร ถ้าจิตไม่สงบ ถ้าจิตมันไม่มีฐาน แล้วมึงจะเอาโสดาบัน สกิทา ไปตั้งไว้ที่ไหนกัน ปฏิบัติไปน่ะ ซื่อ ๆ บื้อ ๆ แม่ง โสดาบัน หนูได้อะไรคะ ได้โสดาบัน ทำไมถึงได้โสดาบันหนูไม่รู้เรื่องเลย ก็ไม่รู้นั่นแหละเป็นโสดาบัน ถ้ารู้แล้วไม่ได้ มึงจะบ้า สถานะมันไม่มี สถานะการรองรับมัน มันไม่มี แล้วเราจะเอาโสดาบันมาจากไหน จะเอาสกิทาคา อนาคามาจากไหน

ถ้ามันมีสถานะ สถานะรองรับว่าสิ่งใด สิ่งใดที่เป็นอริยภูมิ สิ่งใดที่เหนือรองรับสิ่งนั้น มันรองรับได้เห็นไหม นี่ไงถึงว่าต้องสร้างอำนาจวาสนาบารมี นี่ก็มาผลตรงนี้ ก็กลับมาที่ทานนี่ไง ที่เราเสียสละทานกัน ที่เราทำบุญกุศลกันอยู่ ก็เพื่อสถานะ วิวัฒนาการมันให้จิตมันมีสถานะที่จะรองรับอริยภูมิ ถ้ามันไม่มาเราก็ภาวนากันอยู่นี่ไง เพราะทำทานร้อยหนพันหนนะ ไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ทำบุญเช้า ๆ พันหน ถ้ารักษาศีลบริสุทธิ์ได้หนหนึ่ง มีคุณค่ามากกว่า

มีสมาธิร้อยหนพันหน มีศีลร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเกิดสมาธิหนหนึ่ง สมาธิเรา พุทโธ พุทโธ ที่เราบอกว่าเจ็บปวดอยู่ ถ้าจิตมันลงสักหนหนึ่งนะ เท่ากับเราทำทานหมื่นครั้ง แล้วถ้าเกิดปัญญามันเกิด ปัญญามันเกิด ถ้าสมาธิเกิดร้อยหนหมื่นครั้ง ร้อยหนพันหนน่ะ มันกี่ล้านครั้ง ทำสมาธิกี่ล้านครั้ง มันถึงจะเกิดปัญญาขึ้นมาหนหนึ่ง แล้วปัญญาที่มันเกิดขึ้นมา ที่มันจะชำระกิเลสมันเป็นปัญญาอะไร

ที่พูดนะ มันจริง ๆ เราไม่อยากพูดเลย แล้วก็ไม่เคยพูดมาแต่ไหนแต่ไร แต่เพราะเป็นเพราะว่าลูกศิษย์ของเขามาหา แล้วก็มาพูด พยายาม ๆจะคุยกับเรา เราก็พยายามอธิบายเหตุผลให้เขาฟัง อันนี้มันเป็นคน เป็นปัญญาชนรุ่นใหม่ คิดว่า คนพูดความจริง สังคมจะยอมรับความจริงไง อันนี้ก็ยืมความ ยืมคำพูดเราคือมาฟังเราพูดเข้าใจ ก็เอาความเข้าใจนั้น แล้วเอาเราไปโพสต์ในเว็บไซต์ไง มันเลยเกิดสงครามกันไง

เขาคงคิดว่า เขาคงคิดว่าเราปัญญาชนกันน่ะเนาะ พูดความจริงก็ต้องเป็นความจริงใช่ไหม ทุกคนต้องยอมรับความจริง แต่เขาไม่ได้คิดหรอกว่า ความจริงของโจร กับความจริงของบัณฑิตมันคนละจริง เขาลืมคิดตรงนี้ไป เราปัญญาชนไง คิดว่าถ้าพูดความจริงแล้วมันจะเป็นความจริง เราไม่อยากจะพูดเรื่องอย่างนี้นะ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะหลวงปู่มั่นเวลาท่านเทศน์ ท่านไม่เทศน์ถึงผลเลย ท่านบอกเทศน์ผลออกไปแล้ว คนมันจะเก็บเอา คนมันจะเก็บเอาเป็นสัญญา เก็บเอาไปหากิน หลวงปู่มั่นไม่เปิดอย่างนี้ หลวงตาเล่าให้ฟัง

แต่หลวงตาท่านพูดท่านบอกท่านเปิดหมด เปิดหมดไส้หมดพุง แต่ท่านก็ยังขยักของท่านไว้ แล้วทีนี้ พอนี้ไป มันสังคม มันได้รับสิ่งนี้มามาก มันก็เอาไปขยายความกันได้ นี้ถ้าเราพูดออกไป เพราะเราพูดออกไป มันก็ไปอยู่ ตกอยู่ในหนังสือเราทั้งนั้นน่ะ เราถึงไม่ค่อยพูด แต่ต่อไปจะพูด ต่อไปจะพูดเพราะเราพูดของเราแล้วมันเป็นหลักฐานเอกสารนะ พูดให้เห็นไง พูดให้เห็นพูดให้รู้ว่าความจริงก็คือความจริง

ยืนยันว่า ยืนยันเพราะอะไร เขาจะพูดน่ะเขาจะพูดเฉพาะส่วน คนพูดเฉพาะส่วน คนทำงานไม่เป็นน่ะ มันทำให้กระบวนของงานนั้นไปไม่ได้หรอก มันพูดได้เฉพาะส่วน เขาพูดไม่ได้หรอก เวลาบอกไอ้นั่นก็มีไอ้นี่ก็มี มีเฉพาะส่วนแต่เอามาเรียงกันทีไรนะผิดทุกทีเลย กลับหัวกลับหางหมดเลย มันเป็นไปไม่ได้หรอก หมายถึงมันก็เป็นไปไม่ได้ คำว่าปัญญา ปัญญามันก็เทียบกันด้วยปัญญา แต่ถ้าคนจริงนะซักทีเดียวเท่านั้นน่ะ

ฉะนั้นสิ่งใดที่เกิดขึ้นมา หลวงตาจะสอน เราซึ้งมาก หลักหลวงตาจะสอนเลยว่า อยู่กับสติอยู่กับผู้รู้ไม่เสีย อยู่กับสติ ตัวมันจะแข็งไม่แข็ง ไม่ใช่หรอก เป็นความรู้สึกของเราเอง เรารู้สึกว่าแข็งแต่ความจริงมันไม่แข็ง เรามีอะไรฝังใจอยู่มันจะเป็นสภาวะแบบนั้น ดังนั้นเราจะต้องตั้ง ตั้งสติของเราไว้ แล้วนึกพุทโธไว้ ถ้าสิ่งนั้นเกิดขึ้นนั่นน่ะปัญญาเกิด นั้นบุญมาก ๆ บุญมันเกิดขึ้นมาแล้ว บุญหมายถึงว่า บุญหมายถึงว่ามันก้าวเดินมันหมุนของมันไป

แต่ถ้าเราไม่มีบุญนะ เวลาเราจิตสงบแล้วนะหรือมันอยู่คงที่ของมันไง เราจะต้องหาเดิน เหมือนรถน่ะเครื่องติดแล้วนะ แต่มันออกตัวไม่ได้แล้วเดี๋ยวเครื่องก็ดับเพราะน้ำมันหมด สมาธิมีแล้วนะ ออกตัวไม่ได้นะ เดี๋ยวก็เสื่อมหมด ติดเครื่องได้นะ มันกินน้ำมันตลอดนะ ถ้าไม่ขยับรถออกไปนะ เดี๋ยวน้ำมันเกลี้ยงถังเลย แล้วทีนี้ติดไม่ติดล่ะมึง เวลามันเป็นแล้วมันต้องขยับ ค่อย ๆ หาเหตุหาผล เราจะหาของเราเอง ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน รู้จำเพาะจิต จิตนี้จะรู้ รู้จริงของมันแล้วมันจะเป็นความจริงของมันนะ เนาะจบแค่นี้แหละเนาะ เอวัง